Uwell Caliburn G เป็นบุหรี่ไฟฟ้า pod ที่ยี่ห้ออื่นๆบากบั่นจะเอาชนะมาตลอด และแม้จะมีบุหรี่ไฟฟ้าหลากหลายรุ่นที่ออกมาและอ้างอิงว่าเป็น “ผู้ฆ่า Caliburn” ในสองปีให้หลัง แต่ก็ยังไร้บุหรี่ไฟฟ้า pod ตัวไหนที่จะสามารถโค่นยอดขายที่ถล่มถลายของ Caliburn ได้ บุหรี่ไฟฟ้า Caliburn เกือบจะกล่าวได้ว่าเป็นบุหรี่ไฟฟ้าที่เกือบทุกท่านได้เคยใช้มาก่อน ไม่ว่าจะมีเป็นของตนเองหรือยืมเพื่อจะนทดลองสูบก็ตามเนื่องจากว่าความนิยมชมชอบที่ถล่มถลาย ขายดีในมูลค่าที่ถูกมาก ใน caliburn g ตั้งแต่ปี 2019 ที่ค่าย Uwell ได้ออกบุหรี่ไฟฟ้ารุ่นนี้มา Caliburn เป็นบุหรี่ไฟฟ้า pod ที่ยี่ห้ออื่นๆพยายามจะเอาชนะมาตลอด และแม้จะมีบุหรี่ไฟฟ้าหลายๆรุ่นที่ออกมาและอิงว่าเป็น “ผู้ฆ่า Caliburn” ในสองปีที่ผ่านมา แต่ก็ยังไม่มี บุหรี่ไฟฟ้า pod ตัวไหนที่จะสามารถโค่นยอดขายที่ถล่มถลายของ Caliburn ได้ ทั้งนี้ร้านขายของยังมีคอยล์ซื้อขายแลกเปลี่ยนอีกด้วย Uwell Caliburn G
Specification Uwell Caliburn G POD SYSTEM
- Dimensions: 108.3 mm x 22.5 mm x 12.6 mm
- Materials: PCTG
- aluminum alloy
- Battery capacity: 690 mAh
- E-liquid capacity: 2 mL
- Maximum wattage: 18 watts
- Net weight: 60 grams
- Mesh coil resistance: 0.8 ohm
ผลิตภัณฑ์ข้างในกล่อง
- 1 x Caliburn G
- 1x UN2 Meshed-H 0.8-ohm coil
- 1 x Spare UN2 Meshed-H 0.8-ohm coil
- 1x Type-C charging cable
- 1 x User’s manual
การสูบบุหรี่ไฟฟ้าไม่กระตุ้นให้เกิดโรคหอบหืด ที่จริงแล้ว มีงานวิจัยสากลชี้ให้เห็นสิ่งที่ตรงกันข้ามออกมาแล้ว
เมื่อไม่นานมานี้ สถาบันอุดมศึกษา Johns Hopkins (JHU) ประกาศว่าการใช้บุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มเติมอีกจังหวะที่จะถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคหอบหืดหรือโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) อย่างไรก็แล้วแต่ การศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัยในอดีตสมัยส่อให้เห็นว่าสิ่งที่ดิ่งกันข้ามนั้นมีลัษณะทิศทางที่จะเป็นจริงมากมายยิ่งกว่า เป็นต้นว่า งานวิจัยก่อนหน้านี้ที่ทำงานโดยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Catania ในอิตาลีบอกให้เห็นว่าผู้สูบบุหรี่ที่เป็นโรคหอบหืดจะปรากฏวิวัฒนาการเป็นอย่างมากในปริมาณและความรุนแรงของการการกำเริบของโรคหอบหืดเมื่อเปลี่ยนไปใช้การสูบบุหรี่ไฟฟ้าแทน
ปัญหาด้านงานวิจัยของ Johns Hopkins พวกนี้ก็คือพวกเขานิยมจะเพลินที่จะนำเอาความเป็นมาการสูบบุหรี่ไฟฟ้าและประวัติทางการแพทย์ของผู้เข้าร่วมที่เกี่ยวข้องเข้ามาไตร่ตรองร่วมกับการวิจัยของหมวดเขา ในรายงาน JHU ฉบับปัจจุบันนี้ที่เปิดเผยแพร่เมื่อวันที่ 7 ม.ค. นักศึกษาค้นคว้าได้สะสมข้อมูลจากผู้ที่สูบบุหรี่ซึ่งเปลี่ยนไปใช้บุหรี่ไฟฟ้าด้วยตัวเราเองในณ เวลาปี 2016 ถึง 2017
น่าเสียดายที่กลุ่ม JHU ล้มเหลวอีกสักครั้งสำหรับเพื่อการซักถามผู้ร่วมพวกนั้นในณ เวลาเริ่มตั้งแต่ต้นว่าหมู่เขาเคยสูบบุหรี่ หรือผลิตภัณฑ์ยาสูบที่ติดไฟได้หรือว่าหมวดเขาเคยมีประวัติของโรคหอบหืดมาก่อนมั๊ย นอกเหนือจากนี้นี้ “ผลการค้นคว้าวิจัย” ทั้งปวงมีต้นเหตุจากข้อมูลที่ผู้ร่วมรายงานด้วยตัวของเราเอง ซึ่งมีความหมายว่านักวิจัยไม่เคยตรวจสอบว่าข้อมูลที่ให้เป็นความใช่หรือไม่เป็นความจริงหรือไม่
CASAA เข้ามามีส่วนร่วม
เมื่อ Consumer Advocates for Smoke-free Alternatives Association (CASAA) ค้นพบงานวิจัยการสูบบุหรี่ไฟฟ้าของ JHU ทางออนไลน์ ตัวแทนของ CASAA ว่ากล่าวงานศึกษาค้นคว้าเช่นเดียวกับกล่าวว่าเป็น “วิทยาศาสตร์ขยะ” ในการโพสต์บน facebook ตอนวันที่ 8 มกราคม หมู่ผู้ส่งเสริมการสูบบุหรี่ไฟฟ้ากล่าวว่า “งานวิจัยขยะเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า: ข้อมูลภาคตัดขวางไม่สามารถบ่งชี้สาเหตุที่จริงจริงได้ การสูบบุหรี่และโรคหอบหืดที่มีการรายงานข้อมูลด้วยตัวเอง (ไม่น่ายำเกรงมาก) ที่สำคัญที่สุด คนเขียนไม่ทราบดีว่าผู้ป่วยเป็นโรคหอบหืดก่อนที่จะเริ่มสูบบุหรี่ไฟฟ้ามั๊ย! เนื้อหาข้อมูลข่าวสารดีที่ถูกคนเขียนและสื่อละเลยก็คือมีเพียง 0.8% ที่ไม่เคยสูบบุหรี่ไฟฟ้ามาก่อน!”
ในขณะเดียวกัน นักศึกษาค้นคว้าของสถาบันอุดมศึกษา Catalina ได้กลั่นกรองสาเหตุที่เกี่ยวโยงทั้งสิ้นก่อนที่จะทำการวิจัยและเผยแพร่ผลการศึกษาวิจัยใดๆก็ตาม บทความที่ผ่านการตรวจสอบโดยนักศึกษาค้นคว้าซึ่งมีชื่อเรื่องว่า ผลประโยชน์ที่ต่อเนื่องนานของการเลิกบุหรี่และการลดลงในผู้สูบบุหรี่ที่เป็นโรคหืดที่แปลงมาสูบบุหรี่ไฟฟ้ามีอยู่ในวารสารทางการแพทย์ Discovery Medicine
นักวิทยาศาสตร์ชาวอิตาลีเริ่มต้นด้วยการคัดเลือกเฟ้นผู้เข้าร่วมสิบ 18 คน ซึ่งแต่ละคนมีประวัติโรคหอบหืดมาก่อนและมีการสูบบุหรี่รายวัน ไร้ที่มาที่ไปการสูบบุหรี่ไฟฟ้ามาก่อน
งานวิจัยของอิตาลีชี้เฉพาะว่าการเปลี่ยนไปใช้บุหรี่ไฟฟ้าช่วยโรคหอบหืดดีขึ้น
การเล่าเรียนภาษาอิตาลีกินตอนสองปีเต็ม ผู้ร่วมได้รับการช่วยส่งเสริมให้แปลงจากการสูบบุหรี่เป็นการสูบบุหรี่ไฟฟ้าในระหว่างที่ทีมศึกษาค้นคว้าได้กระทำตรวจทาน biomarkers (ค่าจากการตรวจสอบอะไรก็ตามก็ดังที่เราตรวจสอบวัดจากร่างกายของคนปฏิบัติการ/ผู้ร่วมงานวิจัย) หลากหลายตัวเป็นระยะซึ่งรวมทั้งสิ่งตั้งแต่นี้ต่อไป
1.Forced Vital Capacity (FVC) ชี้ให้เห็นถึงปริมาตรอากาศที่จุอยู่ด้านในปอดแทบจะทั้งหมด ค่านี้จะลดต่ำลงเมื่อเนื้อเยื่อปอดเกิดการ เปลี่ยนแปลงเกิดเป็นพังผืด หรือปอดขยายตัวได้ไม่เต็มที่
2.Forced Expiratory Volume (FEV1) ปริมาตรของอากาศที่เป่าออกอย่างรวดเร็วทันใจแรงในวินาทีที่ 1 ซึ่ง FEV 1 นี้เป็นข้อมูลที่ใช้หลายครั้งที่สุดในการสำรวจขีดความสามารถปอด
3.Forced Expiratory Flow (FEF) 25-50-75 ค่าถัวเฉลี่ยของอัตราการเป่าในตอนความจุร้อยละ 25 – 75 ของ FVC
4.Peak Expiratory Flow Rates (PEF) อัตราการไหลของอากาศขาดหายใจออกจำนวนเยอะที่สุด
ACQ
the provocative concentration of meth-acholine that results in a 20% drop in FEV1Hyper-responsiveness (PC20) ปริมาณความเข้มข้นของสารที่ใช้ที่กระตุ้นให้เกิดการน้อยลงของค่า FEV1 ลงอย่างน้อย 20% ขึ้นไป
Asthma exacerbation rates อัตราการกำเริบของโรคหอบหืด
Airway responsivity rates อัตราการตอบสนองของทางเดินขาดหายใจ
Asthma attacks and management rates อัตราการโจมตีและการจัดแจงโรคหอบหืด
Comparative daily rates of smoking vs. vaping อัตราเป็นกิจวัตรเปรียบของการสูบบุหรี่กับการสูบบุหรี่ไฟฟ้า
Overall breathing and respiratory functions การขาดหายใจและหลักการทำงานของระบบทางเดินหายใจโดยรวม
ในช่วงเวลาหกเดือน ผู้ร่วมงานวิจัยแต่ละคน ทั้ง 18 คนถูกเรียกตัวไปที่มหาวิทยาลัย Catalina เพื่อที่จะประเมินทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์ นอกจากนี้นี้ยังมีการเล่าเรียนเชิงสังเกตเพื่อที่จะไตร่ตรองถึงแนวทางการทำงานของการหายใจและระบบทางเดินขาดหายใจว่าดีขึ้นมั๊ย
ผู้ร่วมแต่ละคนยังได้กรอกแบบสอบถามที่รวมไปถึงเกี่ยวกับการกำเริบของโรคหอบหืด กิจวัตรการจัดการโรคหอบหืดแต่ละวัน และสุขภาพโดยรวม หลังจากนั้นผลลัพธ์ของแบบสอบถามจะถูกวิเคราะห์เปรียบเทียบและยืนยันหรือปฏิเสธโดยบ่งบอกจากการประเมินทางการแพทย์ในห้องปฏิบัติการและการเรียนรู้เชิงสังเกต
อย่างไรก็ดี ผู้ร่วมทั้งปวง 18 คนยังคงจะอยู่ด้านในการเรียนการศึกษาเรียนรู้นี้ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญ ในช่วงเวลานี้นักวิทยาศาสตร์สามารถวัดและเทียบผลสรุปช่วงผู้สูบบุหรี่กับผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้า สิ่งที่นักศึกษาค้นคว้าค้นพบคือหมู่ที่สูบบุหรี่ไฟฟ้าเพียงแค่นั้นมีการปรับปรุงแก้ไขอย่างมากในสุขรูปทางเดินขาดหายใจของหมวดหมู่เขา อีก 2 คน ที่ยังคงสูบบุหรี่แต่ละวันมีความเห็นว่าสุขภาพทางเดินขาดหายใจลดน้อยลงโดยตลอดในขณะที่ลูกค้าทั้งสองแบบอยู่ระหว่างดิ่งกลาง